krittimook
Friday, November 27, 2015
Wednesday, November 11, 2015
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยึดทรัพย์สุพจน์กว่า64ล.

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ให้ริบทรัพย์สิน “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม กว่า 64 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน หลังศาลอุทธรณ์ชี้ “ปลัดสุพจน์” ร่ำรวยผิดปกติ ต้องยึดทรัพย์ทั้งหมดตามคำร้องของอัยการสูงสุด เมื่อไม่สามารถชี้แจงที่มาทรัพย์สินที่ถูกคนร้ายบุกปล้นบ้านพักย่านลาดพร้าวเมื่อปลายปี 2554 ได้ ด้านทนายความส่วนตัวปลัดคนดังขอคัดคำพิพากษาทันที ลั่นสู้คดีถึงชั้นศาลฎีกา
ศาลสั่งริบทรัพย์ 64 ล้านบาท ของ “สุพจน์ ทรัพย์ล้อม” ให้ตกเป็นของแผ่นดินครั้งนี้ เปิดเผยขึ้นที่ศาลแพ่ง เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 11 พ.ย.ศาลอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีที่อัยการสูงสุด ยื่นคำร้องให้ศาลมีคำสั่งให้ทรัพย์สินของนายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม นางนฤมล หรือเพ็ญพิมล ทรัพย์ล้อม ภรรยา น.ส.สุทธิวรรณ ทรัพย์ล้อม บุตรสาว น.ส.สุทธาวรรณ ทรัพย์ล้อมหรือปราบใหญ่ บุตรสาว นายสืบพงษ์ ปราบใหญ่ บุตรเขย และผู้ใกล้ชิดรวม 7 คน ตกเป็นของแผ่นดิน มีทรัพย์สิน 19 รายการ คือเงินสด 17,553,000 บาท เป็นเงินของกลางในคดีที่คนร้ายบุกปล้นบ้านนายสุพจน์ในซอยลาดพร้าว 64 เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 พ.ย.54 นอกจากนี้ ยังมีเงินฝาก 9 บัญชี ทองคำหนัก 10 บาท โฉนดที่ดินใน กทม. พร้อมสิ่งปลูกสร้าง และใน จ.นครนายก รวม 6 แปลง ห้องชุดคอนโดมิเนียมใน กทม. ราคา 1.5 ล้านบาท และรถเบนซ์ รุ่น E 230 และรุ่น C 220 รวม 5.2 ล้านบาท รวม 64,998,587.52 บาท หลัง ป.ป.ช.มีมติเป็นเอกฉันท์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.55 ว่า นายสุพจน์มีพฤติการณ์ร่ำรวยผิดปกติ เมื่อไม่สามารถชี้แจงที่มาทรัพย์สินที่ถูกปล้นไปได้
สำหรับคดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาว่า การโต้แย้งของนายสุพจน์เลื่อนลอยไม่อาจรับฟังได้ เมื่ออ้างว่าเข้ารับราชการตั้งแต่เมื่อปี 2520 กระทั่งถึงวันยื่นบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินครั้งแรก เมื่อปี 2554 มาคิดคำนวณแล้วเป็นเงิน 5,000,000 บาท ก็น่า เคลือบแคลงสงสัยมากขึ้นไปกว่าเดิม เพราะเหตุใดนายสุพจน์จึงมีทรัพย์สินที่ได้มาในระหว่างเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ แล้วมีทรัพย์สินรวมกันจนถึงวันที่คณะกรรมการ ป.ป.ช.ลงมติว่าร่ำรวยผิดปกติเมื่อปี 2554 มีมูลค่าสูงถึง 46 ล้านบาท ศาลพิพากษาให้ทรัพย์สินตามคำร้องของอัยการสูงสุด 19 รายการ รวม 46,141,038.83 บาท ของนายสุพจน์และที่มีชื่อภรรยา บุตรสาว และบุตรเขยของนายสุพจน์ เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ พร้อมดอกผลที่เกิดขึ้น ตกเป็นของแผ่นดิน ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ศ.2542 จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ทรัพย์ตามคำร้องได้มาโดยไม่สมควร สืบเนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่และเกิดจากความร่ำรวยผิดปกติ จึงต้องสั่งให้ตกเป็นของแผ่นดิน แต่ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ทรัพย์สิน 46,141,038.83 บาท ตกเป็นของแผ่นดิน โดยนำบัญชีเงินฝาก 3 บัญชี ที่ปิดแล้วจำนวน 15,857,548.69 บาท หักออกจากมูลค่าทรัพย์สิน ที่อัยการสูงสุดยื่นคำร้องนั้น ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย เมื่อฟังได้ว่านายสุพจน์ร่ำรวยผิดปกติ แม้ภายหลังมีการปิดดังกล่าวแล้วก็ต้องนำเงิน 15,857,548.69 บาท มารวมอยู่ทรัพย์สินที่ร่ำรวยผิดปกติด้วย ส่วนรถยนต์ยี่ห้อโฟล์ก สวาเกน มูลค่า 3 ล้านบาท แม้ไม่มีชื่อของนายสุพจน์เป็นเจ้าของ แต่ฟังได้ว่ามีการมอบรถให้นายสุพจน์ใช้อย่างถาวร จึงเป็นทรัพย์สินของ นายสุพจน์ที่เกิดจากการร่ำรวยผิดปกติ เมื่อนำทรัพย์สินดังกล่าว กับมูลค่าทรัพย์สินที่ศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว จะรวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้รถยนต์ยี่ห้อโฟล์ก ราคา 3 ล้านบาท รวมกับทรัพย์สินอื่นตามคำสั่งศาลชั้นต้น รวมมูลค่าทั้งสิ้น 64,998,587.52 บาท ให้ตกเป็นของแผ่นดินภายหลังนายสมศักดิ์ โตรักษา ทนายความของนายสุพจน์กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลอุทธรณ์มีการพิจารณาเพิ่มทรัพย์สินให้ตกเป็นของแผ่นดิน ขณะนี้ยื่นขอคัดคำพิพากษาฉบับเต็ม เพื่อตรวจดูรายละเอียดที่จะพิจารณาประเด็นยื่นฎีกาตามขั้นตอนของกฎหมาย
Subscribe to:
Posts (Atom)